วันศุกร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

เขียนโดย Unknown ที่ 22:47 0 ความคิดเห็น

วันพุธที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

เสน่ห์อาหารไทย 4 ภาค

เขียนโดย Unknown ที่ 03:02 0 ความคิดเห็น
สน่ห์อาหารไทย 4 ภาค เสน่ห์อาหารไทย 4 ภาค อาหารไทยเป็นวัฒนธรรมที่สืบทอดกันมานาน แต่แม้จะมีเอกลักษณ์และความโดดเด่นจากส่วนผสมจากสมุนไพรแต่อาหารในแต่ละภูมิภาคก็มีความแตกต่างกัน อาหารไทยภาคเหนือ อาหารดั้งเดิมของภาคเหนือ มีข้าวเหนียวเป็นอาหารหลัก นิยมใช้พืชตามป่าเขาที่ขึ้นเองตามธรรมชาติมาปรุงอาหาร เนื้อสัตว์ได้จากท้องทุ่งและลำน้ำ อาทิเช่น กบ เขียด อึ่งอ่าง ปู ปลา หอย ไก่ หมู และเนื้อ คนเหนือไม่นิยมใช้น้ำตาล แต่จะใช้ความหวานจากส่วนผสมที่ใช้ทำอาหาร เช่น ความหวานจากผัก ปลา หรือมะเขือส้ม กรรมวิธีการปรุงอาหาร มักจะปรุงให้สุกมากๆ อาหารประเภทผัด หรือต้ม จะปรุงจนกระทั่งผักมีความนุ่ม และมีเครื่องปรุงรสเฉพาะของภูมิภาค เช่น น้ำปู๋ ซึ่งได้จากการเอาปูนาตัวเล็กๆ เอามาโขลก แล้วนำไปเคี่ยว กรองเอาแต่น้ำ ใส่ข่า ตะไคร้ เคี่ยวต่อจนข้น ถั่วเน่าแผ่น ถั่วเหลืองต้มหมักกับเกลือจนนุ่ม นำไปโม่แล้วละเลงเป็นแผ่น ตากแดดให้แห้ง ใช้แทนกะปิ ผักและเครื่องเทศที่ใช้เป็นผักเฉพาะถิ่น ภาคเหนือมีเครื่องเทศของเขา ส่วนใหญ่จะไม่ใช้กะปิเขาจะใช้เป็นถั่วเน่าแทน…จะมีอาหารเฉพาะหลายอย่าง เช่น ข้าวซอย น้ำพริกหนุ่ม แคบหมู เป็นลักษณะเด่นของอาหารทางภาคเหนือ แต่เขาก็ยังจะมีพวกปิ้งย่างอย่างพวกหมูเขาก็จะหมักแล้วห่อใบตองปิ้งย่าง อาหารไทยภาคอีสาน อาหารอีสาน เป็นอาหารที่เรียบง่ายเช่นเดียวกับวิถีการดำเนินชีวิตของชาวอีสาน ในแต่ละมื้อจะมีอาหารปรุงง่ายๆ 2-3 จาน มีผักเป็นส่วนประกอบหลัก เนื้อสัตว์ส่วนใหญ่เป็นปลา หรือเนื้อวัวเนื้อควาย อาหารพื้นบ้านอีสานส่วนใหญ่มีรสชาติออกไปทางเผ็ด เค็ม และเปรี้ยว เครื่องปรุงสำคัญที่แทบจะขาดไม่ได้เลย คือ ปลาร้า ชาวอีสานเรียก "ปลาแดก" เป็นส่วนประกอบหลักของอาหารทุกประเภท อาหารจะมีลักษณะแห้ง ข้น หรือมีน้ำขลุกขลิก ไม่นิยมใส่กะทิ รสชาติอาหารจะเข้มข้นเผ็ดจัด เปรี้ยวจัด รสชาติทางอีสานออกไปทางรสค่อนข้างจัด วัตถุดิบก็จะต่างกันมีการเอาข้าวไปคั่วให้หอมมาผสมเป็นน้ำตกหรือทำลาบ เขาจะใช้ปลาร้าเข้ามามีส่วนร่วมในการปรุงอาหาร ปลาร้ามีรสเค็มและมีกลิ่นหอมเฉพาะ บางทีคนอีสานทำอาหารแต่ขาดปลาร้า อาหารก็จะไม่ใช่ลักษณะของเขา อย่างส้มตำก็ต้องเป็นส้มตำปลาร้า ภาคอีสานบางทีก็คล้ายๆ กับภาคเหนือ สมมติถ้าเขามีปลาก็จะต้มใส่ใบมะขามใส่ตะไคร้ ชาวอีสานนิยมกินข้าวเหนียวเป็นหลัก และมีน้ำปลาร้าปรุงในอาหารแทบทุกชนิด มีศัพท์การปรุงหลายรูปแบบ เช่น ลาบ ก้อย หมก อ่อม แจ่ว จุ๊ ต้มส้ม ซุป เป็นต้น อาหารไทยภาคใต้ อาหารหลักของคนภาคใต้คือ อาหารทะเล และกลิ่นคาวโดยธรรมชาติของปลา หรืออาหารทะเลอื่นๆ ทำให้อาหารของภาคใต้ต้องใช้เครื่องเทศโดยเฉพาะ เช่น ขมิ้น เป็นสิ่งที่แทบจะขาดไม่ได้เพราะช่วยในการดับกลิ่นคาว อาหารภาคใต้จึงมักมีสีออกเหลือง เช่น แกงไตปลา แกงส้ม แกงพริก ปลาทอด ไก่ทอด ซึ่งมีขมิ้นเป็นส่วนผสมทั้งสิ้น และมองในอีกด้านหนึ่ง อาหารส่วนใหญ่มีรสชาติเผ็ดจัด และนิยมใส่เครื่องเทศมาก อาหารส่วนใหญ่เป็นพวก กุ้ง หอย ปู ปลา จะเน้นเครื่องเทศเป็นสำคัญ อาหารภาคใต้จะไม่เน้นรสหวานจะเป็นรสจัด เค็มจัด เผ็ดจัด เปรี้ยวจัด และเน้นใส่ขมิ้นในอาหารทุกชนิด เครื่องปรุงของเขาเน้นกะปิ ส่วนที่ปรุงรสเปรี้ยวจะไม่ค่อยใช้มะนาว จะใช้เครื่องเทศของเขา ส่วนภาคตะวันออก มีดินแดนติดทะเล คนแถบนี้นิยมบริโภคอาหารทะเล และกินผักพื้นบ้าน มีเครื่องเทศสมุนไพรเฉพาะถิ่น และมีผลไม้หลากหลาย การปรุงอาหารคาวบางอย่างจึงนิยมใส่ผลไม้ลงไปด้วย อีกทั้งผสมผสานการปรุงจากชาวจีน อาหารของภาคนี้จึงมีเอกลักษณ์เฉพาะไม่เหมือนใคร อาหารไทยภาคกลาง ภาคกลางเป็นพื้นที่อุดมสมบูรณ์ มีพืชผักผลไม้นานาชนิด อาหารของภาคกลางมีที่มาทั้งจากอิทธิพลจากต่างประเทศ เช่น เครื่องแกง แกงกะทิ จากชาวฮินดู การผัดโดยใช้กระทะและน้ำมันจากประเทศจีน เป็นอาหารมีการประดิษฐ์ผู้อยู่ในรั้วในวังได้คิดสร้างสรรค์อาหารให้มีความวิจิตรบรรจง อาหารภาคกลางมักจะมีเครื่องเคียงของแนม เช่น น้ำพริกลงเรือ แนมด้วยหมูหวาน แกงกะทิแนมด้วยปลาเค็ม กุ้งนึ่งหรือปลาดุกย่าง กินกับสะเดาน้ำปลาหวาน รสชาติของอาหารไม่เน้นรสใดรสหนึ่งโดยเฉพาะ จะมีรส เค็ม เผ็ด เปรี้ยว หวาน เคล้ากันไปตามชนิดของอาหาร นิยมใช้เครื่องเทศแต่งกลิ่นรส และใช้กะทิเป็นส่วนประกอบของอาหาร ยังมี "อาหารชาววัง" ที่มีต้นกำเนิดจากอาหารในราชสำนัก ที่เน้นตกแต่งประณีตและปรุงให้ได้ครบรส ได้แก่ เปรี้ยว หวาน เค็ม เผ็ด นิยมประดิษฐ์อาหารให้สวยงามเลียนแบบรูปทรงต่างๆ ในธรรมชาติ

เสน่ห์อาหารไทย 4 ภาค

เขียนโดย Unknown ที่ 03:01 0 ความคิดเห็น
เสน่ห์อาหารไทย 4 ภาค เสน่ห์อาหารไทย 4 ภาค อาหารไทยเป็นวัฒนธรรมที่สืบทอดกันมานาน แต่แม้จะมีเอกลักษณ์และความโดดเด่นจากส่วนผสมจากสมุนไพรแต่อาหารในแต่ละภูมิภาคก็มีความแตกต่างกัน อาหารไทยภาคเหนือ อาหารดั้งเดิมของภาคเหนือ มีข้าวเหนียวเป็นอาหารหลัก นิยมใช้พืชตามป่าเขาที่ขึ้นเองตามธรรมชาติมาปรุงอาหาร เนื้อสัตว์ได้จากท้องทุ่งและลำน้ำ อาทิเช่น กบ เขียด อึ่งอ่าง ปู ปลา หอย ไก่ หมู และเนื้อ คนเหนือไม่นิยมใช้น้ำตาล แต่จะใช้ความหวานจากส่วนผสมที่ใช้ทำอาหาร เช่น ความหวานจากผัก ปลา หรือมะเขือส้ม กรรมวิธีการปรุงอาหาร มักจะปรุงให้สุกมากๆ อาหารประเภทผัด หรือต้ม จะปรุงจนกระทั่งผักมีความนุ่ม และมีเครื่องปรุงรสเฉพาะของภูมิภาค เช่น น้ำปู๋ ซึ่งได้จากการเอาปูนาตัวเล็กๆ เอามาโขลก แล้วนำไปเคี่ยว กรองเอาแต่น้ำ ใส่ข่า ตะไคร้ เคี่ยวต่อจนข้น ถั่วเน่าแผ่น ถั่วเหลืองต้มหมักกับเกลือจนนุ่ม นำไปโม่แล้วละเลงเป็นแผ่น ตากแดดให้แห้ง ใช้แทนกะปิ ผักและเครื่องเทศที่ใช้เป็นผักเฉพาะถิ่น ภาคเหนือมีเครื่องเทศของเขา ส่วนใหญ่จะไม่ใช้กะปิเขาจะใช้เป็นถั่วเน่าแทน…จะมีอาหารเฉพาะหลายอย่าง เช่น ข้าวซอย น้ำพริกหนุ่ม แคบหมู เป็นลักษณะเด่นของอาหารทางภาคเหนือ แต่เขาก็ยังจะมีพวกปิ้งย่างอย่างพวกหมูเขาก็จะหมักแล้วห่อใบตองปิ้งย่าง อาหารไทยภาคอีสาน อาหารอีสาน เป็นอาหารที่เรียบง่ายเช่นเดียวกับวิถีการดำเนินชีวิตของชาวอีสาน ในแต่ละมื้อจะมีอาหารปรุงง่ายๆ 2-3 จาน มีผักเป็นส่วนประกอบหลัก เนื้อสัตว์ส่วนใหญ่เป็นปลา หรือเนื้อวัวเนื้อควาย อาหารพื้นบ้านอีสานส่วนใหญ่มีรสชาติออกไปทางเผ็ด เค็ม และเปรี้ยว เครื่องปรุงสำคัญที่แทบจะขาดไม่ได้เลย คือ ปลาร้า ชาวอีสานเรียก "ปลาแดก" เป็นส่วนประกอบหลักของอาหารทุกประเภท อาหารจะมีลักษณะแห้ง ข้น หรือมีน้ำขลุกขลิก ไม่นิยมใส่กะทิ รสชาติอาหารจะเข้มข้นเผ็ดจัด เปรี้ยวจัด รสชาติทางอีสานออกไปทางรสค่อนข้างจัด วัตถุดิบก็จะต่างกันมีการเอาข้าวไปคั่วให้หอมมาผสมเป็นน้ำตกหรือทำลาบ เขาจะใช้ปลาร้าเข้ามามีส่วนร่วมในการปรุงอาหาร ปลาร้ามีรสเค็มและมีกลิ่นหอมเฉพาะ บางทีคนอีสานทำอาหารแต่ขาดปลาร้า อาหารก็จะไม่ใช่ลักษณะของเขา อย่างส้มตำก็ต้องเป็นส้มตำปลาร้า ภาคอีสานบางทีก็คล้ายๆ กับภาคเหนือ สมมติถ้าเขามีปลาก็จะต้มใส่ใบมะขามใส่ตะไคร้ ชาวอีสานนิยมกินข้าวเหนียวเป็นหลัก และมีน้ำปลาร้าปรุงในอาหารแทบทุกชนิด มีศัพท์การปรุงหลายรูปแบบ เช่น ลาบ ก้อย หมก อ่อม แจ่ว จุ๊ ต้มส้ม ซุป เป็นต้น อาหารไทยภาคใต้ อาหารหลักของคนภาคใต้คือ อาหารทะเล และกลิ่นคาวโดยธรรมชาติของปลา หรืออาหารทะเลอื่นๆ ทำให้อาหารของภาคใต้ต้องใช้เครื่องเทศโดยเฉพาะ เช่น ขมิ้น เป็นสิ่งที่แทบจะขาดไม่ได้เพราะช่วยในการดับกลิ่นคาว อาหารภาคใต้จึงมักมีสีออกเหลือง เช่น แกงไตปลา แกงส้ม แกงพริก ปลาทอด ไก่ทอด ซึ่งมีขมิ้นเป็นส่วนผสมทั้งสิ้น และมองในอีกด้านหนึ่ง อาหารส่วนใหญ่มีรสชาติเผ็ดจัด และนิยมใส่เครื่องเทศมาก อาหารส่วนใหญ่เป็นพวก กุ้ง หอย ปู ปลา จะเน้นเครื่องเทศเป็นสำคัญ อาหารภาคใต้จะไม่เน้นรสหวานจะเป็นรสจัด เค็มจัด เผ็ดจัด เปรี้ยวจัด และเน้นใส่ขมิ้นในอาหารทุกชนิด เครื่องปรุงของเขาเน้นกะปิ ส่วนที่ปรุงรสเปรี้ยวจะไม่ค่อยใช้มะนาว จะใช้เครื่องเทศของเขา ส่วนภาคตะวันออก มีดินแดนติดทะเล คนแถบนี้นิยมบริโภคอาหารทะเล และกินผักพื้นบ้าน มีเครื่องเทศสมุนไพรเฉพาะถิ่น และมีผลไม้หลากหลาย การปรุงอาหารคาวบางอย่างจึงนิยมใส่ผลไม้ลงไปด้วย อีกทั้งผสมผสานการปรุงจากชาวจีน อาหารของภาคนี้จึงมีเอกลักษณ์เฉพาะไม่เหมือนใคร อาหารไทยภาคกลาง ภาคกลางเป็นพื้นที่อุดมสมบูรณ์ มีพืชผักผลไม้นานาชนิด อาหารของภาคกลางมีที่มาทั้งจากอิทธิพลจากต่างประเทศ เช่น เครื่องแกง แกงกะทิ จากชาวฮินดู การผัดโดยใช้กระทะและน้ำมันจากประเทศจีน เป็นอาหารมีการประดิษฐ์ผู้อยู่ในรั้วในวังได้คิดสร้างสรรค์อาหารให้มีความวิจิตรบรรจง อาหารภาคกลางมักจะมีเครื่องเคียงของแนม เช่น น้ำพริกลงเรือ แนมด้วยหมูหวาน แกงกะทิแนมด้วยปลาเค็ม กุ้งนึ่งหรือปลาดุกย่าง กินกับสะเดาน้ำปลาหวาน รสชาติของอาหารไม่เน้นรสใดรสหนึ่งโดยเฉพาะ จะมีรส เค็ม เผ็ด เปรี้ยว หวาน เคล้ากันไปตามชนิดของอาหาร นิยมใช้เครื่องเทศแต่งกลิ่นรส และใช้กะทิเป็นส่วนประกอบของอาหาร ยังมี "อาหารชาววัง" ที่มีต้นกำเนิดจากอาหารในราชสำนัก ที่เน้นตกแต่งประณีตและปรุงให้ได้ครบรส ได้แก่ เปรี้ยว หวาน เค็ม เผ็ด นิยมประดิษฐ์อาหารให้สวยงามเลียนแบบรูปทรงต่างๆ ในธรรมชาติ

เมนูอาหารไทยสี่ภาค

เขียนโดย Unknown ที่ 02:58 0 ความคิดเห็น
เมนูอาหารไทยสี่ภาค * ที่มา : ผศ.ดร.อัญชนีย์ อุทัยพัฒนาชีพ ภาคกลาง พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นที่ราบลุ่ม มีแม่น้ำหลายสายไหลผ่าน ข้าวปลาอาหารจึงอุดมสมบูรณ์เกือบตลอดทั้งปี รวมทั้งมีพืชผัก ผลไม้นานาชนิด ด้วยเหตุนี้อาหารภาคกลางจึงเป็นอาหารที่มีความหลากหลาย ทำให้รสชาติของอาหารภาคกลางไม่เน้นไปทางรสใดรสหนึ่งโดยเฉพาะ คือมีทั้งรสเค็ม เผ็ด เปรี้ยว และหวานคลุกเคล้าไปตามชนิดต่างๆของอาหาร นอกจากนี้มักมีการใช้เครื่องปรุงแต่งกลิ่นรส เช่น เครื่องเทศ และมักใช้กะทิเป็นส่วนประกอบของอาหาร อาหารภาคกลางเป็นอาหารที่มักจะมีเครื่องเคียงของแนมร่วมรับประทานด้วย เช่น น้ำพริกลงเรือ แนมด้วยหมูหวาน น้ำปลาหวานทานกับสะเดา เป็นต้น จุดเด่นคือ อาหารภาคกลางมักจะมีการประดิษฐ์ สร้างสรรค์อย่างวิจิตรบรรจง ผัก และผลไม้มีการแกะสลักอย่างสวยงาม แสดงให้เห็นถึงความเป็นเอกลักษณ์ของอาหารไทยที่มีศิลปะและวัฒนธรรมที่งดงาม ภาคใต้ พื้นที่ติดชายฝั่งทะเล ลักษณะภูมิประเทศเป็นแหลมยื่นลงไปในทะเล ประชากรส่วนใหญ่จึงนิยมทำประมง ด้วยเหตุนี้อาหารหลักของภาคใต้จึงเป็นอาหารทะเลสด และนิยมใช้เครื่องเทศในการปรุงอาหาร รสชาติจะเผ็ดร้อน เค็มและเปรี้ยว เช่น แกงไตปลา แกงส้ม และแกงเหลือง เป็นต้น อาหารภาคใต้นิยมทานควบคู่กับผักเพื่อช่วยลดความเผ็ดร้อนลง ซึ่งเรียกว่า ผักเหนาะ เช่น มะเขือเปราะ ถั่วฝักยาว ถั่วพู สะตอเป็นต้น ภาคเหนือ เป็นดินแดนที่มีความเจริญรุ่งเรืองมาแต่อดีต มีขนบธรรมเนียม ประเพณีที่แตกต่างไปจากภาคอื่นๆ การรับประทานอาหารของทางภาคเหนือจะใช้โก๊ะข้าว หรือที่เรียกว่า ขันโตก แทน โต๊ะอาหาร โดยจะนั่งล้อมวงเพื่อรับประทานอาหารร่วมกัน คนภาคเหนือจะรับประทานข้าวเหนียวเป็นอาหารหลัก โดยอาหารของทางภาคเหนือจะเป็นอาหารที่สุกมากๆ และเป็นอาหารประเภทที่ผัดกับน้ำมันเป็นส่วนใหญ่ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นดินแดนที่ค่อนข้างแห้งแล้ง ทำให้อาหารพื้นเมืองจึงเป็นอาหารพวกแมลงหลายชนิด ซึ่งเป็นแหล่งโปรตีนที่หล่อเลี้ยงชีวิตประชากรในภาคนี้ อาหารอีสานส่วนใหญ่จะมีข้าวเหนียวเป็นอาหารหลัก ส่วนพืชผัก และเนื้อสัตว์ที่นำมาใช้ประกอบอาหารได้มาจากภายในท้องถิ่นเป็นส่วนใหญ่ อาหารอีสานมักใช้ปลาร้าเป็นเครื่องปรุงรสในอาหารเกือบทุกชนิด แต่ไม่นิยมใส่ในอาหารประเภทผัด และมักรับประทานคู่กับผักสด

สูตรขนมหวานไทย : ลูกชุบ

เขียนโดย Unknown ที่ 02:57 0 ความคิดเห็น
สูตรขนมหวานไทย : ลูกชุบ * ถั่วเขียว 450 กรัม * น้ำตาลทราย 200 กรัม (สำหรับผสมถั่ว) * น้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ (สำหรับทำน้ำวุ้น) * น้ำกะทิ 400 กรัม * วุ้นผง 3 ช้อนโต๊ะ * น้ำเปล่า 3 ถ้วยตวง (สำหรับทำน้ำวุ้น) * สีผสมอาหาร (อย่างน้อยแม่สี 3 สี : สีแดง, สีเหลืองและน้ำเงิน), จานสีและพู่กัน * ไม้จิ้มฟัน (สำหรับเสียบถั่วที่ปั้นแล้วเพื่อแต่งสีและจิ้มลงในน้ำวุ้น) * โฟม (สำหรับเสียบถั่วปั้นระหว่างทำ ถ้าวางบนพื้นจะเสียทรง) วิธีทำขนมไทย ทีละขั้นตอน 1. นำถั่วเขียวเลาะเปลือกมาทำความสะอาด และแช่น้ำทิ้งไว้ประมาณ 2 ชั่วโมง จากนั้นจึงนำไปนึ่งให้สุก ใช้เวลาประมาณ 15 นาที) 2. เมื่อถั่วเขียวสุกดีแล้ว ให้นำไปใส่ในเครื่องปั่นไฟฟ้า พร้อมกับน้ำตาลทรายและน้ำกะทิ ปั่นจนส่วนผสมทั้งหมดเข้ากันดี 3. จากนั้นจึงเทส่วนผสมลงในกระทะทองเหลือง (หรือกระทะเคลือบเทฟลอนก็ได้)และตั้งบนไฟอ่อนๆ ค่อยๆกวนจนข้นและเหนียว (ใช้เวลาประมาณ 20 - 30 นาที) จึงปิดไฟ และทิ้งไว้ให้เย็น (ถั่วต้องแห้ง มิเช่นนั้นจะไม่สามารถนำไปปั้นได้) 4. ก่อนปั้นให้นวดส่วนผสมทั้งหมดอีกครั้งจนเข้ากันเป็นเนื้อเดียว จากนั้นจึงปั้นให้เป็นรูปทรงตามใจชอบ (ผัก, ผลไม้หรือสัตว์น่ารักๆ) เมื่อปั้นเสร็จให้เสียบไม้จิ้มฟันรอไว้ ควรปั้นส่วนผสมทั้งหมดให้เสร็จเรียบร้อยก่อน ถั่วที่ปั้นเสร็จแล้วควรห่อไว้ด้วยผ้าขาวบางชุบน้ำหมาดๆ 5. ผสมสีผสมอาหารตามต้องการ แล้วจึงบรรจงแต่งสีลงบนถั่วปั้นให้เหมือนจริง หรือตามแต่ความชอบ 6. ทำน้ำวุ้นโดยผสมน้ำเปล่า, ผงวุ้นและน้ำตาล ลงในหม้อ นำไปตั้งบนไฟร้อนปานกลาง หมั่นคนอย่างสม่ำเสมอ รอจนส่วนผสมเดือด ช้อนฟองที่ลอยหน้าออก จึงหรี่ไฟลง 7. นำถั่วปั้นที่แต่งสีแล้วไปชุบในน้ำวุ้น ควรชุบประมาณ 2 - 3 ครั้ง ระหว่างชุบวุ้นต้องอุ่นน้ำวุ้นด้วยไฟอ่อนเพื่อไม่ให้วุ้นแข็ง ถ้าไม่พอก็ผสมน้ำวุ้นขึ้นใหม่ตามอัตราส่วนข้างต้น 8. นำลูกชุบออกจากไม้ิจิ้มฟัน ตัดแต่งเศษวุ้นส่วนเกินออกด้วยกรรไกร จัดใส่จาน เสริฟเป็นของว่างในวันสบายๆได้ทันที

แกงไตปลา อาหารภาคใต้ที่รสชาติ เผ็ด จัดจ้าน ครบเครื่อง

เขียนโดย Unknown ที่ 02:56 0 ความคิดเห็น
แกงไตปลา อาหารภาคใต้ที่รสชาติ เผ็ด จัดจ้าน ครบเครื่อง January 1st, 2013 | Author: admin แกงไตปลา เป็นอาหารทางภาคใต้ แกงไตปลา เป็นอาหารที่มีรสชาติ เผ็ด จัดจ้านหรือว่าท่านที่ต้องการทานอาหารแปลก ผมขอแนะนำแกงไตปลาครับ มีรสชาติจัดจ้านแล้วยังมีเครื่องเคียงต่างๆให้ทาน ถือว่าได้รับวิตามินครบ ได้รวบรวมวิธีการทำแกงไตปลารับรองว่าชอบใจแน่นอนมาลองให้ท่านดูเพื่อลองทำดูหรือท่านจะนำไปประกอบอาชีพ อาหารตามสั่งก็ได้ไม่ว่ากัน เชื่อเหลือเกินว่าแกงไตปลา จานนี้สำหรับท่านที่ทำแกงไตปลา มือใหม่ ย่อมอยากกลับมาทำทานอีกอย่างแน่นอน เครื่องปรุง ไตปลา ½ ถ้วย กุ้งแช่บ๊วย 300 กรัม เนื้อปลาย่าง ปลากรอบ อย่างละ 100 กรัม ถั่วฝีกยาวหั่นท่อนสั้น 1 ถ้วย หน่อไม้ลวกหั่นชิ้นพอคำ 1 ถ้วย ส้มแขก 3 ชิ้น น้ำมะขามเปียก ¼ ถ้วย ใบมะกรูดฉีก 4 ใบ ฟักทองหั่นชิ้นพอคำ 100 กรัม น้ำ 3 ถ้วย ผักเหนาะ เช่นสะตอ ลูกเนียง ถั่วฝักยาว แตงกวา ยอดกระถิน มะเขือเปราะ ขมิ้นขาว ฯลฯ เครื่องแกง พริกขี้หนูแห้ง 40 เม็ด พริกขี้หนูสด 15 เม็ด ข่าหั่นละเอียด 1 ช้อนโต๊ะ ตะไคร้ซอย 6 ช้อนโต๊ะ ผิวมะกรูดหั่นละเอียด 1 ช้อนโต๊ะ พริกไทยเม็ด 10 เม็ด กระเทียม ½ ถ้วย หอมแดงซอย ¼ ถ้วย ขมิ้นสดหั่นละเอียด 1 ช้อนโต๊ะ กะปิ 2 ช้อนโต๊ะ เกลือป่น ½ ช้อนชา วิธีทำแกงไตปลา 1.เริ่มโดย นำพริกขี้หนูแห้ง พริกขี้หนูสด เกลือ ข่า ตะไคร้ ผิวมะกรูด พริกไทย หอมแดงซอย กระเทียม ขมิ้น โขลกผสมเข้ากันให้ละเอียด และจากนั้นก็ใส่กะปิ ทำการโขลกเข้าไป ขั้นตอนนี้เรียกกว่าทำน้ำพริกแกงของแกงไตปลา 2.ให้ล้างกุ้งให้สะอาด เด็ดหัวและหาง แกะเปลือกออก ทำการดึงเส้นดำออก สับหยาบ 3.ต้มน้ำให้เดือด ใส่ไตปลา จากนั้นกรองเอาแต่น้ำ นำข้อ 1(ทำน้ำพริกแกง)มาใส่ 5.ใส่กุ้ง ปลาย่าง ใส่ส้มแขก จากนั้นก็ทำการปรุงรสด้วยน้ำมะขามเปียก ชิมรส คนให้เข้ากัน 6.ใส่หน่อไม้ลวด ฟักทอง ถั่วฝักยาว ปลากรอบ ดูทุกอย่างสุก 7.นำเครื่องปรุงทั้งหมดในหม้อมาใส่ชามเพื่อรอเสริฟ Posted in สูตรอาหารไทย | Tags: วิธีทำแกงไตปลา, วิธีทําแกงไตปลา, สูตรแกงไตปลา, แกงไตปลา, แกงไตปลา วิธีทํา, แกงไตปลากะทิ, แกงไตปลาน้ําข้น | 2 Comments » แกงฉู่ฉี่ปลาทู December 27th, 2012 | Author: admin แกงฉู่ฉี่ปลาทู ผมเชื่อว่าท่านใดที่ไม่ชอบทานปลาทู ก็อยากให้ลองทานแกงฉู่ฉี่ปลาทูดู แล้วท่านจะติดใจ จนไม่อยากจะลืมรสชาติที่แสนอร่อยของฉู่ฉี่ปลาทู แกงฉู่ฉี่ปลาทูเป็นอาหารไทยที่ใช้ปลาทูในการปรุงอาหาร สำหรับคนที่ชื่นชอบการทานปลาทูมากอยู่แล้วก็อาจจะทำให้ท่านชอบทานมากขึ้น ถ้าใครเบื่อทานปลาทูในแบบต่าง ๆ มาเช่นปลาทูทอด หรือปลาทูต้ม หรือปลาทูในแบบต่างของต้มยำทำแกง ก็สามารถทำเช่น แกงฉู่ฉี่ปลาทู เพื่อเปลี่ยนรสชาติได้ เครื่องปรุง ปลาทูสด 5 ตัว มะพร้าวขูด 400 กรัม ใบมะกรูดซอย 1 ช้อนโต๊ะ ผักชีเด็ดเป็นใบ 1 ต้น น้ำปลา 3 ช้อนโต๊ะ น้ำตาลปิ๊บ 2 ช้อนโต๊ะ เครื่องแกง พริกแห้งเม็ดใหญ่แกะเมล็ดออกแช่น้ำ 5 เม็ด หอมแดงซอย 7 หัว กระเทียม 10 กลีบ ขาหั่นละเอียด 1 ช้อนชา ตะไคร้ซอย 1 ช้อนโต๊ะ ผิวมะกรูดหั่นละเอียด ½ ช้อนชา รากผักชีหั่นละเอียด 1 ช้อนชา เกลือป่น 1 ช้อนชา กะปิ 1 ช้อนชา วิธิทำแกงฉู่ฉี่ปลาทู 1.นำพริกแห้งเม็ดใหญ่ หอมแดงซอย กระเทียม ข่าหั่นละเอียด กระเทียม ตะไคร้ซอย ผิวมะกรูด รากผักชีหั่นละเอียด เกลือป่น กะปิ รวมทั้งหมดแล้วทำการโขลกเข้าด้วยกัน 2.ให้ล้างปลาทู คลักไส้ดำออกมา ใช้มีดสับหัวออก สไลด์เฉียงสองด้าน พักให้สะเด็ดน้ำ 3.คั้นมะพร้าวเอาน้ำใส่น้ำ 2 ถ้วย คั้นกะทิออกมา 3 ถ้วย 4. เทหัวกะทิ 1 ถ้วย เคี่ยวให้แตกมันด้วยไฟกลาง จากนั้นนำน้ำพริกแกงข้อ 1 ทั้งหมดเทใส่ให้หมดผัดให้หอม แล้วทำการใส่กะทิที่เหลือลงไป รอเดือด 5.ใส่ปลาลงไป พอสุกปรุงรสด้วยน้ำตาล น้ำปลา 6.ใส่ชาม นำใบมะกรูดมาโรยหน้า ผักชี เคล็ดลับการดูปลาทู ตาปลาทูต้องใส ตัวปลาทูต้องแน่น ไม่มีกลิ่นเหม็น ต้องสด เนื้อปลาที่กดลงไปจะไม่บุ๋มลง เนื้อปลามีสีชมพูสวย การรับประทานปลามีประโยชน์หลายอย่าง ท่านจะได้รับแคลเซียมอย่างตรง และมีเนื้อที่อร่อย มีไขมันน้อย กว่าเนื้อหมูหรือสัตว์อื่นๆที่ท่านทาน ท่านใดอยากทานปลาทูก็สามารถทำทานได้ด้วยแกงฉู่ฉี่ปลาทูที่ท่านทำเองได้ไม่ยาก ขอบคุณรูปภาพสวย ๆ จาก http://thaisiamcooking.blogspot.com Posted in สูตรอาหารไทย | Tags: การ ทำ แกง ฉู่ฉี่ ปลา ทู, วิธี การ ทำ ฉู่ฉี่ ปลา ทู, สูตร แกง ฉู่ฉี่ ปลา ทู, เมนู แกง ฉู่ฉี่ ปลา ทู, แกงฉู่ฉี่ปลาทู | No Comments » สูตรแกงกะหรี่ไก่ ที่ได้กลิ่นหอมและรสชาติสมุนไพร October 1st, 2012 | Author: admin แกงกะหรี่ไก่ จานนี้ต้องขอบอกและยกนิ้วให้เลยสำหรับท่านทื่ทานอยู่ รับรองได้เลยว่าเป็นอาหารจานโปรดของใครหลายๆคน เพราะ แกงกะหรี่ไก่ มีรสชาติอร่อย มีกลิ่นชวนหอมของ ยี่หร่าคั่ว ผงกะหรี่ ลูกผักชีคั่ว ได้รสชาติสมุนไพรเลยก็ว่าได้ หอม สดด้วยเนื้อไก่ชิ้นโต และด้วยน้ำของ แกงกะหรี่ไก่ นั้นไม่ต้องบอกเลยว่าอร่อยสุดๆไปเลยรับประทานกับข้าวสวยร้อนๆ ท่านจะลืมกับข้าวจานอื่นไปได้เลย รับรองไม่เชื่อลองทานดูได้ จะหาว่าโม้กัน มีการทำเริ่มกันได้เลยตามนี้แกงกะหรี่ไก่จานโปรดของเรา เครื่องปรุงในการทำแกงกะหรี่ไก่ เนื้ออกไก่หั่นเป็นชิ้นใหญ่ 500 กรัม มะพร้าวขูด 400 กรัม มันฝรั่งหัวเล็กต้ม 3 หัว หอมแดงเจียว 2 ช้อนโต๊ะ เกลือป่น 2 ช้อนชา เครื่องแกง พริกแห้งเม็ดใหญ่แกะเมล็ดออกแช่น้ำ 3 เม็ด หอมแดงเผา 5 หัว กระเทียมเผา 10 กลีบ ตะไคร้ซอย 1 ช้อนโต๊ะ ข่าหั่นละเอียด ขิงหั่นคั่วอย่างละ 1 ช้อนชา ลูกผักชีคั่ว 1 ช้อนโต๊ะ ยี่หร่าคั่ว 1 ช้อนชา ผงกะหรี่ 2 ช้อนชา กะปิ เกลือป่น อย่างละ 1 ช้อนชา เครื่องอาจาด แตงกวาหั่นชิ้นเล็ก 4 ลูก หอมแดงซอย 2 หัว พริกชีฟ้าหั่นแว่น 1 เม็ด น้ำส้มสายชู 1/3 ถ้วย น้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ เกลือป่น 1 ช้อนชา วิธีทำแกงกะหรี่ไก่ 1.นำพริกแห้งเม็ดใหญ่ หอมแดง กระเทียมเผา ตะไคร้ซอย ข่าหั่นละเอียด โขลกเข้ากัน นำ ลูกผักชีคั่ว ยี่หร่าคั่ว ผงกะหรี่ ทำการโขลกต่อผสมให้เข้ากัน 2.คั้นมะพร้าวใส่น้ำ 2 ถ้วย จากนั้นคั้นเอาหัวกะทิ 1 ถ้วย หางกะทิ 1 ถ้วย 3.เริ่มผัดน้ำพริกแกง กับน้ำมันที่เจียวด้วยหอมแดง ค่อยๆใส่หัวกะทิ ผัดให้ได้กลิ่นหอม 4. ใส่หัวกะทิ ใส่เนื้อไก่ทำให้สุก จากนั้นเติมหางกะทิลงไป ตามด้วยเกลือ 5.ใส่มันฝรั่งต้ม ลงไปคนให้เข้ากัน 6.นำตักใส่ชามเพื่อรอเสริฟ โรยหน้าด้วยหอมแดงเจียว การทำอาจาด เริ่มนำเคี่ยวน้ำส้มสายชู น้ำตาล เกลือ ให้ละลายเข้ากันดี จากนั้นก็ใส่แตงกวา หอมแดง พริกชี้ฟ้า ก่อนการรับประทานทุกครั้ง ขอบคุณรูปภาพสวย ๆ จาก http://www.9leang.com Posted in สูตรอาหารไทย | Tags: วิธี การ ทำ แกง กระ หรี่ ไก่, แกง กระ หรี่ ไก่ อร่อย, แกงกระหรี่, แกงกะหรี่ไก่ | No Comments » สูตรข้าวผัดปู สุดยอดกลิ่นหอมของเนื้อปู September 20th, 2012 | Author: admin ขึ้นชื่อว่า ข้าวผัดปู เป็นอาหารจานด่วน ที่ทานได้ทันที ทำได้เร็ว รสชาติดี สำหรับท่านที่ต้องการทานหรือชอบเนื้อปูเป็นพิเศษ ขอแนะนำอาหารจานนี้เลยครับ รับรองว่าท่านได้โปรตีนและเนื้อปูล้วนๆ ทานกับพริกน้ำปลาแล้วละก็ท่านจะลืมข้าวผัดทั่วๆไปได้เลย การทำก็ไม่ยุ่งยากสามารถซื้อเครื่องไว้ก่อน แต่ปูก็ต้มแล้วให้สุกแกะเป็นเนื้อปูเตรียมรอไว้ทำทีเดียว มาดูกันว่ามีอะไรบ้าง วัตถุดิบในการทำข้าวผัดปู 1. ข้าวสวย หอมมะลิ 2 ถ้วย 2. เนื้อปูทะเลต้มแกะแล้ว 1 ตัว 3. ไข่ไก่ 2 ฟอง 4. ต้นหอมซอย 1 ช้อนโต๊ะ 5. ผักชี. 1 ช้อนโต๊ะ 6. กระเทียมสับ 1 ช้อนโต๊ะ 7. พริกไทยป่น ½ ช้อนชา 8. น้ำตาลทราย ½ ช้อนชา 9. ซีอิ๊วขาว 1 ช้อนโต๊ะ 10. น้ำมัน พืช 4 ช้อนโต๊ะ 11. น้ำมันหอย 1 ช้อนโต๊ะ 12. มะนาวผ่าซีก 1 ลูก 13. แตงกวาหั่นเป็นแว่นๆ 1ลูก 14. ต้นหอม 1 ต้น ขั้นตอนการทำข้าวผัดปู 1. นำน้ำมันพืช ตั้งไฟให้ร้อน จากนั้นใส่กระเทียมเจียวให้หอม 2. จากนั้นตอกไข่ไก่ ใช้ไข่สองฟองเพื่อเป็นการเพิ่มพลังให้กับร่างก่าย ผัดไข่ให้สุกใช้ไฟกลาง 3. เทข้าวสวยใช้หอมมะลิอย่างดี ใส่เนื้อปูลงไปด้วย แล้วทำการผัดให้เข้ากัน 4. ปรุงรสด้วยพริกไทย น้ำมันหอย ซีอิ๊วขาว น้ำตาลทราย 5. ได้ที่แล้ว ใส่ต้นหอม ผักชี โรยหน้า รับประทานใส่จาน พร้อมแตงกวารอเสริฟ จากนั้นให้ท่านใส่จานรอเสริฟอย่าลืม ต้นหอม แตงกวาหั่นเป็นแว่นๆ แล้วมะนาวผ่าซีก ไว้ข้างจาน เวลารับประทานก็จะเอร็ดอร่อยกับอาหารจานโปรด ข้าวผัดปู เป็นอาหารที่ทำมาได้ไม่ยากและเป็นอาหารจานด่วนจริง ๆ ที่ทุกคนชอบรับประทาน ไม่ว่าจะเด็ก หรือผู้ใหญ่ ต่างก็ชอบข้าวผัดปูกันทั้งนั้น. ขอบคุณรูปภาพสวย ๆ จาก http://toptenthailand.com Posted in สูตรอาหารตามสั่ง | Tags: ข้าวผัดปู, วิธีทำข้าวผัดปู, สูตรข้าวผัดปู | No Comments » สูตรต้มข่าไก่ ครบทุกรสชาติ ของความอร่อย September 13th, 2012 | Author: admin ต้มข่าไก่ กับข้าวจานโปรดวันนี้ขอนำเสนอ เป็นกับข้าวที่ผสมกะทิได้รสชาติหอมหวานพร้อมกลิ่นข่าอันสุดวิเศษ ครบรสทุกรส เหมาะสำหรับทุกเพศทุกวัย ท่านใดเพิ่มเริ่มหัดทำอาหารขอนำตัวนี้ไปลองทำดูได้ ไม่ยากขั้นตอนก็ไม่เยอะ เป็นอาหารประเภทต้ม มีเครื่องเครามากมายอยู่เช่น ข่า เนื้อไก่ เห็ด และอื่นๆอีกมากมาย ได้วิตามิน โปรตีน ครบ เป็นอาหารพื้นบ้านของไทยที่ได้รับความนิยมมานาน ลองเริ่มทำกันดู วัตถุดิบในการทำต้มข่าไก่ 1. เนื้ออกไก่หั่นชิ้นพอคำ แล้วแต่ปริมาณที่ต้องการใส่ 2. ใบมะกรูดฉีก 4 -6ใบ 3. หางกะทิ 2 ถ้วย 4. หัวกะทิ 1 ถ้วย 5. พริกขี้หนูสวนให้ทุบแตก 5 เม็ด ถ้าต้องการเผ็ดมากใส่เพิ่มได้ 6. น้ำพริกเผา 1 ช้อนโต๊ะ 7. น้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ 8. น้ำมะนาว 2-3 ช้อนโต๊ะ 9. น้ำปลา 2 ช้อนโต๊ะ 10. ตะไคร้ล้างสะอาด ทำการทุบหั่นเฉียง 1/2 ต้น 11. ข่าอ่อน ทำการปอกเปลือกนำไปหั่นเป็นแว่นพอคำ 20 แว่น 12. ผักชี เพื่อโรยหน้า 13. มะเขือเทศ 3ลูก หั่นเป็นแว่นๆ 14. เกลือป่น 1ช้อนโต๊ะ ขั้นตอนการทำต้มข่าไก่ 1. เริ่มเอาหางกะทิใส่ลงไปก่อน ใช้ไฟกลางๆพอเดือดก็ตามด้วย ข่าอ่อน เกลือเคี่ยวไป 2. ใส่เนื้อไก่ลงไป ทำให้สุก แล้วใส่ ตะไคร้ ใบมะกรูดลงไป ได้กลิ่นหอมพอดี 3. ใส่หัวกะทิ มะเขือเทศ ทำการคนให้เข้ากัน 4. ปรุงรสด้วยน้ำพริกเผา น้ำตาลทราย น้ำมะนาว น้ำปลา พริกขี้หนูทุบ ถ้าต้องการเผ็ดมากให้ใส่ลงไปเยอะหน่อย เสร็จแล้วตักใส่ชาม 5. นำผักชีมาโรยหน้า เป็นอันเสร็จพิธี จะเห็นว่าการทำ ต้มข่าไก่ ไม่ยากเลยครับ ทำการชิมแล้วรับรองว่าอร่อยเหาะ ทุกท่านสามารถทำทานได้แล้ว นำไปฝากกับเพื่อนบ้านของเราได้ หรือจะทำทานในครอบครัวกันได้ตลอดเวลานะครับ

ข้าวเหนียวมะม่วง

เขียนโดย Unknown ที่ 02:55 0 ความคิดเห็น
ข้าวเหนียวมะม่วง ข้าวเหนียวมะม่วงเป็นของหวานที่พบเห็นกันทั่วไป มีทั้งเจ้าขนมที่ทำแล้วอร่อย ข้าวเหนียวหวานมัน กะทิเข้มข้น กับเจ้าที่พอทานได้ หลายคนอาจจะสงสัยว่ามีเคล็ดลับอะไรทำยังไงขนมถึงอร่อย แล้วมาดูเคล็ดลับการทำข้าวเหนียวมะม่วงกันเลยค่ะ * การนึ่งข้าวเหนียวโดยการใส่ใบเตยลงไปในน้ำ ทำให้ข้าวเหนียวหอม * การแกว่งด้วยสารส้ม ทำให้ข้าวเหนียวไม่หัก * อย่านึ่งข้าวเหนียวให้สุกมาก ข้าวเหนียวจะแฉะไม่อร่อย และนึ่งข้าวเหนียวด้วยไฟกลางค่อนไปทางอ่อน * ถ้าทำข้าวเหนียวขนุน ใส่ข้าวเหนียวลงไปในขนุน * ถ้าทำข้าวเหนียวลูกตาล โรยหน้าด้วย น้ำตาลทราย เกลือ งาดำ งาขาว * สำหรับมะม่วงถ้ายังไม่เสิร์ฟ ยังไม่ต้องปอก เพราะมะม่วงจะดำ ส่วนผสมข้าวเหนียวมูน ข้าวเหนียวเขี้ยวงูดิบ 1 ½ ถ้วยตวง สารส้ม (สำหรับแกว่งข้าวเหนียว) 1 ก้อน หัวกะทิ ½ ถ้วยตวง + 2 ช้อนโต๊ะ น้ำตาลทราย ½ ถ้วยตวง เกลือป่น 1 ช้อนโต๊ะ ส่วนผสมกะทิราดข้าวเหนียวมูน หัวกะทิ ½ ถ้วยตวง น้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ เกลือป่น ½ ช้อนชา แป้งข้าวเจ้า 1 ½ ช้อนชา ส่วนผสมอื่นๆ มะม่วงสุก, ขนุนสุก, ลูกตาลเชื่อม,ทุเรียน ถั่วทองแช่น้ำ 3 ชั่วโมง แล้วคั่วไฟอ่อนๆ 2 ช้อนโต๊ะ วิธีมูนข้าวเหนียว 1. แช่ข้าวเหนียวในน้ำสะอาด พอท่วมข้าว พักไว้ประมาณ 3 ชั่วโมง 2. แกว่งสารส้มในข้าวเหนียว ประมาณ 4-5 รอบ ล้างด้วยน้ำสะอาด 2 ครั้ง สรงขึ้นให้สะเด็ดน้ำ แล้วนำไปนึ่งในลังถึงที่รองด้วยผ้าขาวบาง นึ่ง 10 นาที แล้วกลับด้านอีก 10 นาทีด้วยไฟกลางค่อนข้างอ่อน 3. ผสมหัวกะทิ น้ำตาลทราย เกลือป่น ใส่หม้อตั้งไฟกลาง คนให้เข้ากัน พอน้ำตาลละลาย และเดือดประมาณ 2 นาที เทใส่ภาชนะ พักไว้ให้เย็น 4. เทข้าวเหนียวร้อนๆ ลงในกะทิที่เย็นแล้ว คนด้วยพายเบาๆ ให้ส่วนผสมเข้ากันดี ปิดฝา พักไว้จนระอุ ประมาณ 30 นาที 5. กลับข้าวเหนียวมูนอีกครั้งเบาๆ ตักเสิร์ฟพร้อมมะม่วงสุก วิธีทำกะทิราดหน้าข้าวเหนียวมูน 1. ผสมแป้งข้าวเจ้า น้ำตาลทราย เกลือป่น ค่อยๆ เทหัวกะทิใส่ทีละน้อย คนให้แป้งละลาย 2. ตั้งไฟกลาง คนไปเรื่อยๆ จนกระทั่งส่วนผสมเริ่มข้น ประมาณ 3 นาที ยกลงทิ้งไว้ให้เย็น วิธีเสิร์ฟ * ข้าวเหนียวมูนจะเสิร์ฟพร้อมกับมะม่วงสุก น้ำกะทิทุเรียน ทุเรียนสด ขนุน ลูกตาลเชื่อม และสังขยาก็ได้ เขียนโดย kasor ที่ 16:31 ไม่มีความคิดเห็น: ส่งอีเมลข้อมูลนี้ BlogThis! แบ่งปันไปที่ Twitter แบ่งปันไปที่ Facebook ป้ายกำกับ: สูตรข้าวเหนียวมะม่วง 6 ธ.ค. 2555 วิธีทำวุ้นมะพร้าวอ่อน ขนมไทย วุ้นมะพร้าวอ่อน ที่อร่อย จะหวานไม่มาก หอมน้ำมะพร้าว ยิ่งถ้าแช่ให้เย็นด้วยจะอร่อยยิ่งขึ้น ใครสนใจจะทำรับประทานในครอบครัวหรือทำขาย ก็ได้ ถ้าทำขายก็จะขาย 5 คู่ 10 บาท ส่วนผสม เนื้อมะพร้าวอ่อน (เลือกเนื้อมะพร้าวอ่อนที่มีเนื้อกำลังดี อย่าแข็งหรือไม่มีเนื้อ ที่สำคัญอย่าขูดเนื้อมะพร้าวอ่อนให้ติดเปลือก จะไม่สวย) 1/2 ด้วยตวง น้ำมะพร้าวอ่อน (ต้องหวานมิฉะนั้นวุ้นจะเปรี้ยว) 1/2 ถ้วยตวง น้ำดอกมะลิ 1 ถ้วยตวง ผงวุ้น 1 ช้อนโต๊ะ น้ำตาลทราย 1/2 ถ้วยตวง หัวกะทิ 1/2 ถ้วยตวง เกลือป่น 1/2 ช้อนชา วิธีทำวุ้นมะพร้าวอ่อน 1. ผสมผงวุ้นกับน้ำดอกมะลิใส่กระทะทอง ตั้งไฟกลาง เคี่ยวให้วุ้นละลาย ประมาณ 10 นาที ใส่น้ำตาลทรายเคี่ยวต่ออีก 5 นาที 2. ปั่นเนื้อและน้ำมะพร้าวอ่อนด้วยกันพออยาบๆ แล้วใส่ลงในวุ้นข้อ 1 3. ผสมหัวกะทิกับเกลือป่น คนให้เข้ากันใส่ลงในวุ้นข้อ 2 เดือดทั่วกันแล้วยกลง หยอดลงในพิมพ์ ทิ้งไว้ให้เย็น เขียนโดย kasor ที่ 10:04 ไม่มีความคิดเห็น: ส่งอีเมลข้อมูลนี้ BlogThis! แบ่งปันไปที่ Twitter แบ่งปันไปที่ Facebook ป้ายกำกับ: วิธีทำวุ้นมะพร้าวอ่อน ขนมไทย 12 ต.ค. 2555 วิธีทำขนมไทย ข้าวเม่าทอด วิธีทำข้าวเม่าทอด ข้าวเม่าทอด เป็นขนมไทยที่ไม่ค่อยได้เห็นกันบ่อยนัก รูปทรงกลมรี เมื่อชิมแล้วจะหอมหวานรสกล้วย กะทิ และมันอร่อย ส่วนผสม ข้าวเม่าคั่วบดหยาบ ๆ 1 /2 ถ้วยตวง น้ำตาลมะพร้าว 1/2 ถ้วยตวง น้ำลอยดอกมะลิ 1/4 ถ้วยตวง มะพร้าวขูดขาว 1/2 ถ้วยตวง กล้วยไข่สุก 6 ลูก น้ำมันสำหรับทอด 3 ถ้วยตวง ส่วนผสมแป้งชุบทอด แป้งข้าวเจ้า 1/4 ถ้วยตวง แป้งสาลี 1/4 ถ้วยตวง ไข่แดง 1 ฟอง หัวกะทิ 1/4 ถ้วยตวง น้ำปูนใส 1/4 ถ้วยตวง เกลือป่น 1/2 ช้อนชา น้ำตาลทราย 1 1/2 ช้อนชา ผงฟู 1 ช้อนชา วิธีทำ 1. ผสมน้ำตาล มะพร้าว น้ำลอยดอกมะลิใส่ในกระ ทะทอง ตั้งไฟกลาง ใส่มะพร้าว ผัดให้เข้ากัน 3-5 นาที 2. ใส่ข้าวเม่าคั่ว ผัดให้แห้ง ยกลงพักไว้ให้เย็น 3. ปอกกล้วย และหุ้มด้วยส่วนผสมในข้อ 2 บางๆ แต่ให้มิด ทั่วกัน ทำจนหมด 4. นำมาประกบคู่กัน ชุบแป้งทอด จนเหลืองพักไว้ให้เย็น วิธีทำแป้งชุบทอด 1. ผสมแป้งทั้งสองชนิดเข้าด้วยกัน ใส่เกลือ น้ำตาลทรายและผงฟู 2. ผสมไข่แดงกับน้ำปูนใสเข้าด้วยกัน นำไปนวดในแป้งในข้อ 1. ประมาณ 10 นาที 3. ใส่หัวกะทิ คนให้เข้ากัน 4. ตั้งกระทะใส่น้ำมันพืช พอร้อน นำกลวยที่หุ้มแล้ว ชุบแป้งทอดด้วยไฟกลางจนสุกเหลือง ใช้มือจุ่มแป้งสะบัดเบาๆ ให้เป็นฝอย เคล็ดลับ * การนำข้าวเม่าไปคั่วไฟอ่อนๆ ให้กรอบ โบราณเรียกว่านำข้าวเม่าไป “ราง” * เมื่อผัดข้าวเม่ากับน้ำตาลมะพร้าว อย่าให้เหนียวมาก เมื่อนำมาหุ้มกล้วย จะหุ้มไม่สวย * เมื่อจับคู่ทอด ใช้มือจุ่มแป้งโรยฝอย โดยสะบัดมือเบาๆ จะได้ฝอยสวย เขียนโดย kasor ที่ 20:22 ไม่มีความคิดเห็น: ส่งอีเมลข้อมูลนี้ BlogThis! แบ่งปันไปที่ Twitter แบ่งปันไปที่ Facebook ป้ายกำกับ: ขนมไทย, วิธีทำข้าวเม่าทอด 11 ก.ย. 2555 ข้าวเหนียวถั่วดำ การทำข้าวเหนียวถั่วดำนั้น การต้มถั่วดำเป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะถ้าถั่วต้มไม่สุกดี ขนมก็จะเสียรสชาติไปเลย จึงจำเป็นต้องต้มให้สุกเสียก่อนที่จะต้มลงไปพร้อมกับน้ำกะทิ เพราะถ้าใส่ถั่วดิบลงไปต้มพร้อมกับน้ำกะทิ ถั่วจะไม่สุก นี่เป็นเคล็ดลับหนึ่งในการทำขนมที่มีถั่วเป็นส่วนประกอบ ส่วนผสมข้าวเหนียว 1. ข้าวเหนียวขาว 1/2 กิโลกรัม 2. กะทิข้นๆ 2 ถ้วยตวง 3.น้ำตาลทราย 3 ถ้วยตวง 4. เกลือป่น 1 ช้อนโต๊ะ วิธีทำ 1. นำข้าวเหนียวไปแช่น้ำไว้ 6 ชั่วโมงแล้วนึ่งให้สุกดี 2. นำกะทิ น้ำตาลทราย เกลือป่น พร้อมกันแล้วนำไปมูนกับข้าวเหนียว แล้วคนให้ข้าวเหนียวกระจาย (ด้วยเวลาอันรวดเร็ว) ให้ส่วนผสมเข้ากัน ปิดฝาภาชนะที่มูนไว้ ส่วนผสมถั่วดำ 1. ถั่วดำ 1/2 กิโลกรัม 2. น้ำกะทิ 4 ถ้วยตวง 3. น้ำตาลทราย 2 ถ้วยตวง วิธีทำ 1. ล้างถั่วให้สะอาด แช่น้ำไว้ประมาณ 6 ชั่วโมง 2. นำถั่วดำต้มเทน้ำทิ้ง 1 ครั้ง ต้มต่ออีกครั้งจนสุกดี 3. ต้มถั่วกับน้ำกะทิ พอกะทิแตกมันดี เติมน้ำตาลทราย ต้มต่อไปจนน้ำตาลละลายและเข้ากันดี ยกลง ตักเสิร์ฟคู่กับข้าวเหนียวมูน สูตรนี้รับประทานได้ 6-8 คน เขียนโดย kasor ที่ 11:27 ไม่มีความคิดเห็น: ส่งอีเมลข้อมูลนี้ BlogThis! แบ่งปันไปที่ Twitter แบ่งปันไปที่ Facebook ป้ายกำกับ: ข้าวเหนียวถั่วดำ, วิธีทำข้าวเหนียวถั่วดำ 15 ส.ค. 2555 ขนมฟักทอง ขนมไทย ขนมไทยชนิดนี้จะมีวิตามินเอสูงเนื่องจากนำฟักทองมาใช้เป็นส่วนผสมหลัก ส่วนผสมของขนมฟักทอง 1. แป้งข้าวเจ้า 1 ถ้วย 2. แป้งมัน 1/2 ถ้วย 3. ฟักทองเนื้อดีหั่นชิ้นเล็ก (ให้เลือกฟักทองที่เนื้อแก่จัด รสจะหวานมัน) 1 ถ้วย 4. กะทิ 1 1/4 ถ้วย 5. น้ำตาลทราย 1 ถ้วย วิธีทำ 1. ผสมแป้งข้าวเจ้า แป้งมัน น้ำตาลทราย ค่อยๆ ใส่กะทิและนวดให้เข้ากันจนกะทิหมด 2. นำส่วนผสมที่ได้หยอดหยอดลงในถ้วยตะไลและเอาเนื้อฟักทองที่หั่นไว้ใส่ลงไปด้วย พักไว้ 3. ตั้งไฟ แล้วใช้ลังถึงรอจนน้ำเดือดจึงนำถ้วยตะไลใส่ลงในลังถึง นึ่งประมาณ 20 นาที ขนมสุก ก็ยกลง พักไว้ให้เย็น แกะออก ใส่จานเสิร์ฟกับชากาแฟ หรือจะจัดเป็นอีกเมนูของการจัดเบรคตามงานต่างๆ ก็ไม่เลว เขียนโดย kasor ที่ 12:19 ไม่มีความคิดเห็น: ส่งอีเมลข้อมูลนี้ BlogThis! แบ่งปันไปที่ Twitter แบ่งปันไปที่ Facebook ป้ายกำกับ: ขนมฟักทอง ขนมไทย 10 ก.ค. 2555 ขนมไทยสูตรครองแครงกะทิสด ขนมนี้เป็นขนมไทยโบราณ ปัจจุบันจะทำตัวครองแครงกันไม่เป็น ต้องซื้ออย่างเดียว แต่ถ้าทำเองได้ ก็จะดีเพราะทำไม่ยาก และขนมจะเหนียวดีให้ลองทำกันดู ส่วนผสมตัวครองแครง แป้งข้าวเจ้า 1 ถ้วยตวง แป้งมัน ¼ ถ้วยตวง แป้งท้าวยายม่อม 1 ช้อนโต๊ะ น้ำเปล่า 1 ถ้วยตวง ส่วนผสมน้ำกะทิ หัวกะทิ 2 ถ้วยตวง หางกะทิ 1 ½ ถ้วยโต๊ะ แป้งข้าวเจ้า 1 ช้อนโต๊ะ น้ำตาลทราย ½ ถ้วยตวง เกลือป่น 1 ½ ช้อนชา งาขาวคั่วบุบพอแตก 2 ช้อนโต๊ะ ส่วนผสมแป้งนวล แป้งข้าวเจ้า 2 ช้อนโต๊ะ แป้งมัน 2 ช้อนโต๊ะ ส่วนผสมอื่นๆ งาขาวและดำคั่ว บุบพอแตกอย่างละ 1 ช้อนโต๊ะ วิธีทำตัวครองแครง 1. ผสมแป้งทั้ง 3 ชนิดเข้าด้วยกัน ใส่กระทะทอง ค่อยๆ เทน้ำใส่จนหมด 2.นำไปกวนพอสุก ตักขึ้นพักไว้ให้อุ่น 3. นำไปนวดในภาชนะที่ใส่แป้งนวลไว้แล้ว นวดให้แป้งเนียน ประมาณ 10 นาที 4. ปั้นเป็นก้อนกลมๆ กดลงบนพิมพ์ครองแครง พักไว้ ใส่ในภาชนะที่ใส่แป้งนวลไว้ 5. นำไปลวกในน้ำเดือดผ่านน้ำเย็นพักไว้ ให้สะเด็ดน้ำ วิธีทำน้ำคะทิ 1. ผสมกะทิ แป้งข้าวเจ้า น้ำตาลทราย และเกลือป่น ในหม้อหรือกระทะทอง 2. นำไปขึ้นตั้งไฟ คอยคนอย่าให้แป้งเป็ดเม็ด เดือดแล้วใส่ครองแครง คนให้เข้ากัน ใส่หัวกะทิยกลง 3. ก่อนจะเสิร์ฟครองแครงกะทิสด ให้โรยด้วยงาดำ งาขาว เพื่อความสวยงามและคุณค่าอาหารด้วย เขียนโดย kasor ที่ 15:30 ไม่มีความคิดเห็น: ส่งอีเมลข้อมูลนี้ BlogThis! แบ่งปันไปที่ Twitter แบ่งปันไปที่ Facebook ป้ายกำกับ: ขนมไทยสูตรครองแครงกะทิสด 8 ก.ค. 2555 ขนมไทยสูตรข้าวเหนียวตัด ขนมไทยสูตรนี้บางตำราจะเรียกว่า ข้าวเหนียวหน้านวล จุดเด่นจะอยู่ที่ความอร่อยของหน้ากะทิที่ต้องมันและถั่วดำต้องสุก ส่วนผสมตัวข้าวเหนียว ข้าวเหนียวเขี้ยวงู 1/2 ถ้วยตวง หางกะทิ 1/2 ถ้วยตวง ส่วนผสมหน้ากะทิ หัวกะทิ 1/2 ถ้วยตวง แป้งข้าวเจ้า 2 ช้อนโต๊ะ น้ำตาลทราย ¼ ถ้วยตวง เกลือป่น 1 ช้อนชา ถั่วดำต้มสุก ¼ ถ้วยตวง วิธีทำขนมไทยสูตรข้าวเหนียวตัด 1. นำข้าวเหนียวซาวให้สะอาดใส่ถาด ใส่หางกะทินำไปนึ่ง ให้สุก ประมาณ 10 นาทีด้วยไฟกลาง 2. ผสมหัวกะทิ แป้งข้าวเจ้า น้ำตาล เกลือ คนให้เข้ากัน 3. เมื่อข้าวเหนียวสุก นำส่วนผสมหน้าในข้อ 2 ราดให้เต็มถาด แล้วนึ่งต่ออีก จนหน้าขนมแตกมันประมาณ 15 นาที 4. สุกแล้วยกลง นำถั่วดำตกแต่ง หรือจะใส่ทอดหยอดให้สวยงามด้วยก็ได้ รอจนข้าวเหนียวตัดเย็นแล้วตัดออกเป็นชิ้น
 

ยินดีต้อนรับ Template by Ipietoon Blogger Template | Gadget Review